สรุปดราม่าการฟ้องร้อง Black Widow จากทั้งสองฝ่าย

31 ก.ค. 2021
1028

หลังจากที่ Black Widow ถึงเวลาข้องเข้าฉายในโรงภาพยนตร์หลังจากที่ถุกเลื่อนฉายไปหลายครั้ง ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่นักแสดงนำของเรื่องอย่าง Scarlett Johansson ฟ้องบริษัท Walt Disney ในข้อหาผิดสัญญาในเรื่องการเปิดตัวภาพยนตร์ที่ฉายพร้อมกับ Disney+ Premier Access

แนวทางในการฉายภาพยนตร์ในปัจจุบันมีแนวทางหลักๆ 2 ส่วนด้วยกันคือหนึ่งฉายที่โรงภาพยนตร์ กับสองฉายที่ช่องทางสตรีมมิ่งซึ่งสตูดิโอหลายแห่งเริ่มใช้แนวทางที่สองมากขึ้นเนื่องจากสถานะการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีท่าทีจะลดลง ซึ่งตัวอย่างที่ดีก็คือบริษัท Warner Bros. ซึ่งใช้แผนการเปิดตัวภาพยนตร์ทั้งหมดในปี 2021 พร้อมกันในโรงภาพยนตร์และทาง HBO Max ที่เป็นบริการสตรีมมิ่งออนไลน์ในการชมคอนเทนต์ต่างๆของทาง Warner Bros. ซึ่งไม่เกิดปัญหาใดๆ โดยปัญหาของ Black Widow ทำให้เกิดการยื่นฟ้องร้องของนักแสดงกับทางต้นสังกัดเกี่ยวกับการนำภาพยนตร์เข้าฉายได้ทั้งสองช่องทาง และก็เกิดคำถามว่าทำไม Scarlett Johansson ถึงฟ้อง Disney เรื่อง Black Widow นี้

ทำไม Scarlett Johansson ถึงฟ้อง Disney

Scarlett Johansson คือนักแสดงนำที่รับบทเป็น Natasha Romanoff ใน Black Widow ซึ่งสัญญาของนักแสดงระบุว่าเธอจะได้รับค่าธรรมเนียมล่วงหน้าจากเปอร์เซนต์ของกำไรที่เกิดจากรายได้ที่ปรากฏใน Box Office และโบนัสต่างๆที่เงื่อนไขที่ระบุกันไว้ก่อนหน้านี้ (โดยโบนัสนี้จะเป็นรายได้ที่สอง และเป็นข้อตกลงส่วนหลัง) โดยสัญญานี้มักจะทำเฉพาะหนังที่ได้รับการฉายทางโรงภาพยนตร์เท่านั้น เป็นการการรันตีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยว่ารายได้จาก Box Office จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น Robert Downey Jr. ทำเงินล่วงหน้า 20 ล้านดอลลาร์สำหรับการเล่น Tony Stark ใน Avengers: Endgame และอีก 55 ล้านดอลลาร์จากข้อตกลงแบ็คเอนด์หรือสัญญาส่วนหลังของเขาสำหรับส่วนแบ่งกำไรบ็อกซ์ออฟฟิศ 8%

แต่เนื่องจาก Disney นำ Black Widow เข้าฉายในช่องทาง Disney+ Premier Access ถือว่าไม่ใช่โรงภาพยนตร์ทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ที่สองที่เป็นโบนัสและในส่วนแรกที่ควรจะได้กลับได้มาอย่างไม่เต็มที่ตามสถานะการณ์โควิดที่โรงภาพยนตร์บางแห่งอาจจะไม่สามารถทำการฉายภาพยนตร์ได้ตามกำหนดเวลา ถือว่า Disney ละเมิดสัญญาที่ Scarlett Johansson โดยในสัปดาห์แรก Black Widow ทำเงินได้ 158.8 ล้านดอลลาร์จากทั่วโลก ในช่วงสุดสัปดาห์แรก และจาก Disney+ Premier Access 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมการเปิดตัวทั่วโลกรวม 218.8 ล้านดอลลาร์

แม้ว่า Black Widow จะเป็นหนังที่ดูจะได้รับความนิยมอย่างมากใน MCU และทำรายได้ทะลุ Box Office อย่างรวดเร็วในช่วงสุดสัปดาห์ที่สอง การเปิดตัวพร้อมกันระหว่างโรงหนังกับ Disney+ เป็นการเพิ่มทางเลือกในการชมภาพยนตร์ที่บ้าน แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ไม่น้อยเลยเพราะมีหลายคนที่แคปหนังได้ดูตามเว็บเถื่อนเต็มไปหมด ซึ่งในประเด็นนี้มองว่าทำให้ Scarlett Johansson สูญเสียรายได้จากส่วนนี้เป็นอย่างมาก และการเปิดตัวใน Disney+ จะเป็นการตัดกำไรของ Box Office แทนที่หนัง Black Widow ควรจะได้นั่นเอง

การโต้ตอบของ Disney

Disney ก็ได้โต้กลับ Scarlett Johansson ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนและหนักแน่นว่า “การยื่นฟ้องนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย คดีนี้น่าเศร้าและน่าวิตกเป็นพิเศษถ้าเราเพิกเฉยต่อการแพร่ระบาดของโควิด19” ซึ่งก็เข้าใจประเด็นของ Disney เอง และการนำ Black Widow เข้าฉายทาง Disney+ Premier Access ก็ได้สร้างกำไรเพิ่มขึ้นให้กับ Johansson มากกว่า 20 ล้านเหรียญที่เธอได้รับจนถึงปัจจุบัน

โดยแหล่งข่าวจาก Wall Street Journal อ้างว่า Johansson ได้สูญเสียรายได้ว่า 50 ล้านดอลลาร์ที่คาดการณ์ เนื่องจากการออกฉาย Black Widow ใน Disney+ ซึ่ง Johansson ต้องพิสูจน์ตัวเลขของความเสียหายนี้ว่ามีความจริงหรือไม่ และข้อหาที่ทาง Disney บอกว่า Johansson ไม่ได้สนใจสถานะการณ์การแพร่ระบาดอยู่นี้คิดจะเอาแต่รายได้อย่างเดียวนั้นไม่ได้เกี่ยวกัน โดยทางทนายความของ Scarlett Johansson หรือ John Berlinsk (จอห์น เบอร์ลินสกี้) ได้ตอบกลับในแถลงการณ์ (ผ่านทาง Variety) ว่า การที่ Black Widow ที่ได้ฉายทาง Disney+ เป็นการละเมิดสัญญาและเกิดผลประโยชน์กับทาง Disney ฝ่ายเดียว

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Disney จะปล่อยภาพยนตร์อย่าง Black Widow เข้าสู่ Disney+ โดยตรงเพื่อเพิ่มจำนวนสมาชิกและด้วยเหตุนี้จึงช่วยเพิ่มราคาหุ้นของบริษัท โดยการเอา Covid-19 มาเป็นข้ออ้างในการกระทำข้างต้น ซึ่งต้องรอการพิสูจน์กันในชั้นศาลกันต่อไปว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะคดีนี้ ซึ่งไม่ว่าบริษัท Disney จะอ้างด้วยเหตุผลใดด็ตามแต่ตามหน้าที่ทางกฏหมายแล้ว Disney จะต้องทำตามสัญญาที่ระบุไว้อย่างชัดเจนมากกว่า

Warner Bros. จัดการการฉายภาพยนตร์ใน HBO Max อย่างไร

Warner Bros. มีความคิดที่จะเอาหนังเกือบทุกเรื่องในช่วงสถานะการณ์โควิดมาลงฉายใน HBO Max ซึ่งเป็นสตรีมมิ่งของทาง Warner Bros พร้อมกับฉายทางโรงภาพยนตร์พร้อมกัน ซึ่งการลงฉายทาง HBO Max จะเป็นการสร้างกำไรมากกว่าให้กับ สตูดิโอภาพยนตร์ รวมถึงพาร์ทเนอร์การผลิตและผู้สร้างภาพยนตร์ เพราะส่วนแบ่งรายได้ไม่ได้ไปแบ่งให้กับโรงภาพยนตร์นั่นเอง ซึ่งช่วงแรกๆ Warner Bros ก็ได้รับปัญหาเดียวกันเหมือน Disney และก็มีปัญหาฟ้องร้องกับ Legendary Entertainment ในการนำหนัง Dune และ Godzilla vs. Kong เข้าฉายทาง HBO Max แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตกลงกันได้ โดยเสนอวันจ่ายเงินเดือนที่รับประกันตามผลงานที่เติบโตขึ้นรวมถึงโบนัสและวิธีการชดเชยอื่น ๆ นั่นเอง

คดีของ Scarlett Johansson อาจส่งผลกระทบต่อ Hollywood ได้อย่างไร

สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งก็มีหนัง Jungle Cruise ที่กำลังจะเปิดตัวในสองช่องทางในแบบเดียวกันกับ Black Widow ซึ่งหมายความว่าหากดารา Dwayne Johnson และ Emily Blunt ยังไม่ได้ทำข้อตกลงใหม่กับสตูดิโอ พวกเขาก็สามารถฟ้องในข้อหาละเมิดสัญญาได้เช่นกัน ผลกระทบที่เป็นไปได้อีกประการหนึ่งจากการฟ้องร้องของ Johansson ก็คือ Disney และสตูดิโออื่นๆ จะเปิดเผยรายได้และแบ่งส่วนแบ่งให้กับนักแสดงอย่างเป็นธรรมหรือไม่ คำร้องเรียนของ Johansson ระบุว่าทีมของเธอพยายามเจรจาสัญญาใหม่หลังจากตัดสินใจปล่อย Black Widow ใน Disney+ Premier Access แต่ Marvel Studios และ Disney ไม่ตอบสนองใดๆ ซึ่งมองว่าทางฝ่าย Johansson ทำตามข้อสัญญาและเรียกร้องในส่วนที่เขาจะต้องได้ แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไม่เคยต้องรับมือกับการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัสมาก่อน จึงต้องปรับเปลี่ยนวิถีทางการชมภาพยนตร์แต่สัญญายังไม่ได้ตกตงกันให้ชัดเจนนั้นเอง

คดีจะส่งผลต่อการเปิดตัว Disney+ ในอนาคตหรือไม่?

ดูเหมือนว่าการปล่อยภาพยนตร์ทั้งสองช่องทางกลายเป็นปัญหาให้กับนักแสดงและตัวผู้ผลิต ผู้กำกับและอีกหลายๆฝ่ายไม่พอใจมากมาย ซึ่งในอนาคตเชื่อว่าสัญญาต่างๆจะต้องมีการเปลี่ยนเงื่อนไขให้ชัดเจนมากกว่านี้ เพราะมันมีผลกระทบต่อคุณภาพของ แบรนด์หนังอย่าง Marvel และ Star Wars เพราะแต่ละแบรนด์มีมูลค่ามหาศาลที่ Disney ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะจัดการต่อไปยังในอนาคต โดยภาพยนตร์เรื่องต่อไปของ Disney ภายไต้แบรนด์ Marvel Studios นั้นก็คือ Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ได้รับการระบุในตัวอย่างโดยเฉพาะเลยว่าจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้น และจะได้ชมใน Disney+ หลังจากหนังเข้าฉายไปแล้ว 45 วัน ซึ่งอาจจะเป็นแนวทางที่ใช้กับหนังเรื่องต่อไปอย่าง Eternals ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าปัญหาตรงนี้จะแก้ไขกันอย่างไร แต่ถ้าจะดีจริงๆคือโควิดต้องหมดไปสักที แต่ก็คงเป็นไปได้อย่าง ยังไง akarachannel จะสนับสนุนหนังและ ซีรีส์ของ MCU ต่อไปเสมอครับ