วันจันทร์, 14 ตุลาคม 2567

ทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ เกี่ยวกับ Multiverse ของ MCU

ดูเหมือนว่าเรื่องราวของ Multiverse จะไม่ได้กำหนดให้ผูกกับตัวละครบางตัวหรือหนังเพียงสองสามเรื่องของ MCU เท่านั้น แต่จุดเริ่มต้นของความชัดเจนในเรื่องนี้น่าจะมาจากเรื่องราวใน Avengers: Endgame ถึงแม้ว่าใน MCU จะมีมิติคู่ขนานเกิดขึ้นมาแล้วมากมาย แต่การเดินทางของ Avengers: Endgame คือที่มาของการเกิดจักรวาลคู่ขนานของ MCU ที่กำลังจะแผ่ขยายออกไปอีกอย่างไม่มีขีดจำกัด และเหมือนว่าจักรวาลนี้จะมีความซับซ้อนมากขึ้น สู่มิติ หรือ dimensions ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และโลกคู่ขนาน หรือ parallel worlds รวมถึง เส้นเวลาหรือ Timelines ที่แตกแขนงออก และ alternate realities หรือ ความเป็นจริงทางเลือกอื่นๆ ซึ่งเราจะเริ่มได้ยินคำเหล่านี้เรื่อยๆมากขึ้น ตั้งแต่จบ Infinity Saga มานั้นเองครับ

เรื่องราวของ Multiverse อาจทำให้หลายคนสับสน แต่มันจำเป็นที่เราจะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อให้เราได้เข้าใจเส้นทางของ MCU ในเฟสต่อๆไปหลังจากนี้ โดยหลังจากหนังเรื่อง Spiderman: No Way Home ที่ฉายก่อนหน้า Doctor Strange in the Multiverse of Madness ช่วยเน้นย้ำเรื่องราวของ Mulitverse ได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนของ MCU แต่ที่ผ่านมา MCU ก็ได้เล่าเรื่องราวของ Multiverse ให้เราได้ทราบมาบ้างแล้วไม่ว่าจะเป็น มิติกระจกของ Doctor Strange, Quantum Realm หรือมิติควอนตั้ม ใน Ant-Man, การเกิดตัวแปรต่างๆของตัวละคร ที่เป็นผลจากการมีอยู่ของ Multiverse, หรือแม้แต่เรื่องราวใน Darkhold จากซีรีส์ WandaVision ที่อาจเกี่ยวข้องกับ Multiverse ของ MCU อย่างมีนัยสำคัญ และอื่นๆอีกมากมายที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของ Multivere เรื่องนี้ ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามครับ

Multiverse ของ MCU คืออะไร?

จากที่ Ancient One จากหนังเรื่อง Doctor Strange ภาคแรก ได้บอกเอาไว้ รวมถึงการถูกเน้นย้ำจาก He Who Remains จากซีรีส์ Loki ทำให้เราทราบว่า MCU มี Multiverse ที่เป็นจักรวาลแบบไม่มีที่สิ้นสุด มีโลกคู่ขนานที่แตกต่างกันมากมาย พร้อมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นได้ใน Multiverse อาจจะเป็นประโยชน์ให้แก่กันและกันในแต่ละจักรวาล หรือสร้างความพินาศให้แก่กันและกันได้เช่นกัน ในแต่ละจักรวาลก็มีมิติหรือ dimensions ที่มีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ อาจเกี่ยวข้องกันหรือไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้

ดังนั้นมิติ คือระนาบการดำรงอยู่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มิตินั้นอาจจะเฝ้ามองอีกมิตินึ่งที่ระนาบไปกับมันได้ อย่างไรก็ตามหากคุณเดินทางไปยัง Mulitverse และเข้าสู่โลกคู่ขนาน คุณก็จะมองเห็นเพียงแค่โลกที่คุณอาศัยอยู่เท่านั้น พูดมาแบบนี้คุณอาจจะงงใช่ไหมครับ เดียวอัครจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนมากขึ้น

ตามทฤษฎีของ Multiverse ใน MCU นั้น การมีอยู่อีกมิตินึงคล้ายกับการที่เราเป็นผี หากคุณกลายเป็นผี แสดงว่าคุณอยู่อีกระนาบนึงของความเป็นจริงที่แตกต่างออกไป แต่คุณยังสามารถมองเห็นโลกที่คุณจากมาได้

ในขณะเดียวกัน การไปเยี่อนโลกคู่ขนานก็เหมือนคุณเดินทางผ่านประตูมิติไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ ลองนึกภาพถ้าคุณเดินเข้าไปในโลกที่เหมือนกันโลกของเรา ยกเว้นท้องฟ้าของโลกใหม่กลายเป็นสีม่วงแทนที่จะเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงินที่เหมือนกับโลกของเรา เมื่อตัวตนคุณไม่ได้อยู่ที่โลกที่มีท้องฟ้าสีครามครับ ก็จะทำให้การกระทำของคุณจะส่งผลโลกในท้องฟ้าสีม่วงแทนนั้นเอง

ใน MCU มิติอื่นบางครั้งไม่มีความสามารถในการส่งผลกระซึ่งกันและกัน แม้เราสามารถรับรู้ได้ แต่โลกคู่ขนานและมิติอื่นๆ บางครั้งก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อระนาบอื่นใน Multiverse ได้

ใน MCU มิติ ก็คือ โลกคู่ขนาน ซึ่ง Ancient One ได้อธิบายไว้ในฉากที่ Doctor Strange มาเยือน Kamar-Taj ครั้งแรก จากหนังเรื่อง Doctor Strange ในปี 2016 โดย Ancient One บอกไว้ว่า

“This universe is only one of an infinite number. Worlds without end. Some benevolent and life giving. Others filled with malice and hunger. Dark places where powers older than time lie ravenous…and waiting.”
The “infinite dangers”

จักรวาลนี้เป็นแค่หนึ่งในจำนวนอีกมากมาย หลายหลายมิติไม่มีที่สิ้นสุด บางมิติเมตตาและเอื้อเฟื้อต่อชีวิต บางมิติ อาฆาตร้าย หมายเชมือบและหิวโหย หลายพิภพมืดมน และมีอำนาจเก่าแก่เหนือกาลเวลา และซ่อนอยู่อย่างกระหาย รอการสำแดงออกออกมาจากความมืดมน”

นั้นคือสิ่งที่ Ancient One ได้บอกถึงเรื่องราวของ Multiverse ให้เราได้ฟังอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่อัครอ้างมา ไม่อิงจากคอมมิกนะครับ ให้ลืมเรื่องคอมมิกไปเลย เพราะเราจะพูดถึงแต่ใน MCU เท่านั้น

มิติที่เราเห็นในหนัง Doctor Strange ในปี 2016

เมื่อ Doctor Strange ได้เห็นขอบเขตที่แม้จริงของการมีอยู่ของมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

  • Mandelibus แมนเดลิบัส Dimension
  • The Actiniaria Dimension
  • Flowering Incense Dimension
  • The Grass Jelly Dimension

มิติเหล่าก็ยังไม่ได้รับการขยายความให้ชัดเจน แต่มีมิติหนึ่งก็คือ Astral Dimension ที่มีความสำคัญต่อ MCU อย่างมาก

Astral Dimension มิติที่วิญญาณดำรงอยู่

บางครั้งก็เรียกมิตินี้ว่า Astral Plane เป็นมิติที่วิญญานหรือดวงจิตนั้นดำรงอยู่ ซึ่งจอมเวทย์ทั้งหลายสามารถถอดจิตหรือวิญญานโดยทิ้งร่างของเค้าเอาไว้ เพื่อเข้าสู่มิตินี้ Astral Plane ถือเป็นมิติที่เป็นพลังงานบริสุทธิ์ ดูแล้วก็คล้ายกลับการที่เราเห็นผีในเวอร์ชั้นของตัวเอง นอกจากนี้นักเวทย์ยังสามารถผลักวิญญานของคนอื่น เข้ามาในมิตินี้ได้ ซึ่ง Ancient One ก็เคยทำลักษณะนี้กับ Strange รวมถึงนำจิตของ Bruce Banner ให้ออกจากร่างของ Professor Hulk ใน Avengers: Endgame และ ใน Spider-Man: No Way Home Doctor Strange ก็ยังทำแบบนี้กับ Peter Parker อีกด้วย แน่นอนครับ มิติ Astral นั้นจะอยู่รอบๆ ถัดจากมิติปกติของโลกหรือที่เราเรียกว่า Earth Realm เหมือนเราจะเห็นวิญญานของคนเหล่านี้ลอยอยู่ในโลกของเรา แต่แน่นอนมันไม่ใช่ที่เดียวกัน เป็นเพียงระนาบนึ่งที่คนปกติจะมองไม่เห็น และสิ่งที่เกิดขึ้นใน Astral Dimension นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อทางกายภาพของโลกของเรา นอกจากนี้ก็ยังสามารถปรากฏตัวให้กับคนบนโลกได้เช่นเดียวกับตอนที่ Doctor Strange ทำกับ Christne Plalmer นั้นเอง นอกจากนี้เวลาในมิติก็มีความแตกต่างเวลาของโลกของเรา บางครั้งก็อาจจะเป็นเวลาเดียวกัน หรือบางครั้งก็สามารถยืดหรือหดเวลาได้ ตัวอย่างเช่นฉากที่ Ancient One เสียชีวต ในหนัง Doctor Strange ภาคแรกเราจะเห็นการเดินของเวลาที่ช้าลงมากระหว่างที่ทั้งคู่กำลังใช้จิตสนนากัน

นอกจากนี้ในระนาบของการชีวิตอยู่ในมิติปกติ ยังสามารถถอดจิตของเราให้สามารถทำงานช่วยเหลือเราได้ โดยขนานไปกับมิตินี้นั้นเอง ตัวอย่างเช่นแยกจิตเพื่อช่วยในการอ่านหนังสือ ของ Doctor Strange หรือ Wanda ใช้ศึกษา Darkhold ซึ่งแน่นอนมันคือจิตอยู่ในมิติ Astral Plane คู่ขนานในมิติปัจจุบันนั้นเอง

นอกจากคนที่ไม่มีเวทย์มนตร์ เราก็ยังเห็น MCU นำเสนอมิตินี้ในรูปแบบอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะในหนังเรื่อง Black Panther, Infinity War, Endgame, หรือแม้แต่ Moon Knight ซึ่งเราจะพูดถึงในเนื้อหาต่อไปหลังจากนี้ครับ

Mirror Dimension

มิติกระจกนี้นักเวทย์ทั้งหลายมักจะใช้เข้ามาในมิตินี้อยู่บ่อยครั้ง เป็นมิติที่อยู่คู่ขนานไปกับมิติความเป็นจริงในปัจจุบันของโลก การกระทำใดใดในมิตินี้จะไม่ส่งผลต่อโลกแห่งความจริงของเรา นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม สายเวทย์จึงใช้มิติกระจก เพื่อฝึกฝน สอดส่ง และบางครั้งก็ต่อสู้กับภัยคุกคาม เพราะจอมเวทย์สามารถนำเอาศัตรูเข้ามายังมิติกระจกนี้ เพื่อมาจัดการให้สิ้นซากได้ แต่มิติกระจกก็ไม่อาจสามารถต้านทาน Thanos ได้เนื่องจากเขาได้ใช้มณี ทำลายมันในขณะที่ Doctor Strange กำลังจะใช้มิตินี้ต่อสู้กับเขา นอกจากนี้มิติกระจกก็สามารถนำมาใช้ในด้านไม่ดีเช่นกัน ซึ่งถ้าใครใช้ศาสตร์มืดเขาสามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้น เพื่อฝึกฝนตัวเองและยังช่วยเพื่มความแข็งแกร่งใหเกับพวกเขาได้ทุกเมื่อ

Dark Dimension

ในหนังเรื่อง Doctor Strange มีการพูดถึง Dark Dimension หรือมิติมืดเป็นครั้งแรก โดยในมิตินี้มีสัตว์ประหลาดข้ามมิติขนาดยักษ์ที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นและสีเข้มอาศัยอยู่ นั้นก็คือ Dormammu โดยโลกเกือบเคยเป็นส่วนหนึ่งของมิติมืดนี้เพราะ Kaecilius ผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ Dormammu สามารถครอบครองมิติปกติของเรานั้นเอง Dark Dimension นี้ถือเป็นมิติที่อยู่เหนือกาลเวลา นั้นทำให้ใครที่สามารถอยู่ในมิตินี้ได้ก็จะเป็นอมตะเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุให้ Kaecilius ยอมตกเป็นทาสของ Dormammu นั้นเอง และใครที่สามารถควบคุมพลังจากมิติมืดได้ ก็จะสามารถมีพลังมากขึ้นในมิติกระจกเช่นกัน ซึ่ง Ancient One ก็ใช้มิติมืดนี้ทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ได้มาหลายร้อยปี ซึ่งดูเหมือน Ancient One จะละเมิดระเบียบธรรมชาติ ใน ซีรีส์ WandaVision เราเห็น Scarlet Witch กำลังศึกษา Darkhold หนังสือเวทย์ที่ว่ากันว่ามันมาจากต้นกำเนิดที่ชั่วร้าย และสร้างขึ้นจากพลังงานมืดของมิติมืดนั้นเอง ซึ่งต้องมาดูว่า Darkhold จะมีการขยายความเรื่องราวของใันในหนัง Doctor Strange in the Multiverse of Madness อย่างไร

Ancestral Plane ลานบรรพบุรุษ

ลานบรรพบุรุษนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของมิติ Astral Dimension หรือมิติวิญญานที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งคนที่เป็น Black Panther ใน Wakanda สามารถเข้าถึงมิตินี้ได้ หรือพูดอีกแบบก็คือเป็นมิติที่วิญญานที่ร่างกายยังไม่ตายสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจาก T’Challa และ Killmonger ต่างก็เดินทางไปที่นั่นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และได้พูดคุยกับบิดาผู้ล่วงลับของพวกเขา หลังจากที่พวกเขากินสมุนไพรรูปหัวใจก่อนที่จะถูกฝังเพื่อเดินทางไปที่นั่น โดยโลกหลังความตายจากซีรีส์ Moon Knight ที่เทพี Tewaret ได้บอกไว้ว่า โลกหลังความตายของแต่ละครจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นสอดคล้องกับที่ T’Challa เห็นลานบรรพบุรุษ เป็นป่าในประเทศวากานดา ส่วน Killmonger เห็นลานบรรพบุรุษเป็นอเมริกา ในบ้านอพาทเม้นที่เขาเติบโตมาในโอ๊คแลนด์นั้นเอง ส่วนบรรพบุรุษของ Wakanda วิญญานของพวกเค้าก็จะมารวมกันที่มิตินี้ นั้นเอง

ดังนั้น Astral Plane และ Ancestral Plane มีลักษณะที่เหมือนกันหลายอย่างและเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับอาณาจักรแห่งความตายอีกแห่งใน MCU นั้นก็คือ Soulworld ของ Soul Stone นั้นเอง

Soulworld ของ โลกของมณีวิญญาน

เมื่อมีคนใช้ Soul Stone พวกเขาจะเข้าสู่มิตินึงที่เหมือนเป็นโลกของมณีวิญญานหรือ Soul Stone โดย Thanos ได้เข้าไปที่นี่หลังจากที่เขาได้ทำการ Snap ใน Infinity War โดยใน Soulworld เขาได้พบกับ Gamora ลูกสาวของตอนที่เธอยังเป็นเด็ก ส่วน Tony Stark ก็ได้เข้าไปในโลก Soulworld ที่เขาได้เห็นลูกสาวตัวน้อยของเราเป็นสาววัยรุ่น ซึ่งเป็นฉากที่ถูกตัดหรือฉาก deleted scene จาก Endgame นั้นเอง ซึ่ง Soulworld เป็นวิญญานที่พวกเขาไปเมื่อพวกเขาตายโดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ Soul Stone นั้นเอง โดย Soulworld คือส่วนนึ่งของมิติหลังความตายหรือ Astral Dimension มิติที่มีวิญญานดำรงอยู่ เช่นเดียวกับ Ancestral Plane หรือลานบรรพบุรุษในวากาดา และ Duat ที่ปรากฏในซีรีร์ Moon Knight ซึ่งโลกหลังความตายก็มีหลายรูปแบบตามที่เทพี Tewaret ได้บอกไว้ ซึ่งสามารถเข้าถึงโลกหลังความตายได้หลายวิธี และ Soulworld ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Multiverse ใน MCU นั้นเอง

Quantum Realm

อาณาจักรควอนตัม หรือ Quantum Realm มีความสำคัญต่อ MCU มากและปูทางมาให้เรารู้จักจาก Ant-Man 2 จน Quantum Realm ได้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวใน Avengers: Endgame โดย Scott Lang รู้ว่ามิตินี้สามารถใช้เป็นประตูมิติเพื่อประโยชน์ในการเดินทางข้าวเวลาได้ Quantum Realm ไม่ใช่เป็นเพียงมิติที่รวบรวมสิ่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งจริงๆแล้ว Quantum Realm ใน MCU การย่อขนาดตัวให้มีขนาดเล็กลงมากพอ จะทำให้คุณออกจากระนาบหลักของโลกที่เคยมนุษย์ดำรงอยู่ และสามารถข้ามไปยังอีกระนาบนึงได้ ดูเหมือนว่า Quantum Realm จะมีความสำคัญมากในช่วงท้ายของ MCU เฟส 3 และขยายขอบเขตไปอีกใน เฟส 4 โดยเฉพาะสถานที่ใน EP.6 ของซีรีส์ Loki ได้มีการนำเสนอ ปราสาท Citadel ที่ตั้งอยู่ที่จุดสิ้นสุดของเวลา มีความเป็นไปได้ว่า ปราสาท Citadel อาจตั้งอยู่ใน Quantum Realm เนื่องจากสถาพแวดล้อมมีความคล้ายกับ Quantum Realm มาก เมื่อพิจารณาว่า Quantum Realm สามารถใช้เพื่อเข้าและออกจากไทม์ไลน์ได้ ถึงเป็นเหตุผลที่น่าจะคาดเดาได้ว่า ปราสาท Citadel ของ He Who Remain น่าจะตั้งอยู่ใน Quantum Realm He Who Remains และพนักงานของ TVA ก็เปรียบเป็นนักเดินทางข้ามเวลาก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวของ Quantum Realm น่าจะทำให้เราได้ชัดเจนมากขึ้นในหนังเรื่อง Ant-Man Quantumania ที่กำลังจะฉากให้เราได้ชมในอนาคตนั้นเอง

WestView หรือ HEX

WastView ในซีรีส์ WandaVision ถือเป็นอีกโลกนึงของความจริงทางเลือกที่ Wanda ได้สร้างขึ้นจากพลัง Chaos Magic (เวทมนตร์แห่งความโกลาหล) ภายใต้ความโศรกเศร้าในจิตในที่มีอยู่ในตัวของ Wanda Maximoff เธอกระจายพลังงานขนาดมหึมาครอบเมืองเวสต์วิวรัฐนิวเจอร์ซีย์ กลายเป็นแหล่งพลังงานที่เรียกว่า Hex โดยชาวเมือนในนั้นได้ลืมตัวตนของตัวเอง และถูก Wanda ควบคุมโดยไม่รู้ตัวโดยแบ่งเบาความเจ็บปวดของ Wanda ไปสู่พวกเขาได้ Hex นั้นถือเป็นความจริงทางเลือกที่ Wanda สร้างเองทั้งหมดนั้นบ่งบอกว่าเธอมีอำนาจในการสร้างความจริงทางเลือกอื่นๆในอนาคตได้ ทำให้เธอดูมีความน่ากลัวและมีอำนาจมากใน MCU ขณะนี้

โลกคู่ขนาน (Parallel Worlds) และตัวแปร

จากซีรีส์ Loki ใน Season 1 ทั้ง 6 ตอนได้เปลี่ยนโฉมของ MCU ไปมากมาย He Who Remains ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของโลกคู่ขนานของเรา และสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากลังจากที่ Sylvie ได้สังหาร He Who Remains ไปแล้วซึ่งเราจะได้พบกับตัวแปรของเค้าที่น่ากลัว ซึ่งซีรีส์ Loki ทำให้เรารู้ว่า multiverse เกิดขึ้นจริงๆแล้วใน MCU มิติที่เหล่า Avengers อยู่นั้นมีจักรวาลคู่ขนานอยู่ซ้อนกันนับไม่ถ้วน ทำให้มีโลกคู่ขนานหมือนกับโลกของเรามากมาย และกำเนิดตัวแปรของตัวละครเดียวกันมากมายที่อยู่ในแต่ละโลกคู่ขนาน ตัวแปรบางตัวอาจมีความคล้ายคลึงกันกับตัวแปรใรโลกหลัก หรือมีความแตกต่างกันในเชิงเหตุการณ์พฤติกรรม เช่น Loki ในโลกหลัก แพ้ สงคราม Battle of the New York แต่อาจชนะในโลกคู่ขนานอื่นก็เป็นได้ แต่จุดสัมบูรณ์ของเวลาที่เเกิดขึ้นกับตัวแปรนั้นๆในแต่ละโลกคู่ขนานอาจถูกกำหนดให้มีจุดจบที่คล้ายกันเสมอ ซึ่งความชัดเจนตรงนี้บอกไว้หมดแล้วในซีรีส์ Marvel’s What If…? ที่ตัวละครในโลกหลัก อาจมีเหตุการณ์ชีวิตที่เปลียนไปในโลกอื่นๆก็เป็นไปได้ เช่น Peggy Carter กลายเป็น Captain Carter แทน Steve Rogers ที่ต้องเป็น Captain America ในโลกจริง นั้นทำให้เราบอกได้อย่างเต็มปากว่าโลกคู่ขนานนั้นก็คือ ความจริงทางเลือกนึงที่อยู่ร่วมกันในจักรวาลอย่างสันติ แต่ละโลกอาจมีตัวแทนเดินทางมาเจอกันเพื่อแลกเปลี่ยนวิทยาการ ซึ่งจะไม่เกิดความวุ่นวาย ถ้าตัวแทนแต่ละโลกนั้นต่อสู้กันจนเกิดเป็นสงครามของ Multiverse ก็อาจจะทำให้เกิดหายนะต่อจักรวาลได้

สงคราม Multiverse และ Sacred Timeline (เส้นเวลาอันศักดิ์สิทธิ์)

จากซีรีส์ Loki บอกว่า He Who Remains เป็นคนที่ชนะสงคราม Multiverse จากตัวแปรของเขาในโลกคู่ขนานมากมาย ซึ่งแน่ชัดว่าสงคราม Multiverse เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตและอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตต่อจากนี้ เมื่อเขาและตัวปรของเขาได้เรียนรู้วิธีในการเดินทางข้ามมิติระหว่างโลกคู่ขนาน นั้นทำให้ตัวแปรของ He Who Remains บางคนมีความต้องการที่จะพิชิตแต่ละโลกคู่ขนานให้เป็นของเขา นั้นทำให้เกิดสงครามในระดับ Multiverse มาแล้ว สงครามนี้ถ้าควบคุมไม่ได้มันจะทำลายความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล และอาจจะทำให้เป็นจุดจบของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลและในมิติอื่นๆด้วย ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหายนะที่ใหญ่โตขนาดนี้ He Who Remains สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้และได้จัดระเบียบโลกคู่ขนานเหล่านี้ไว้ใน เส้นเวลาอันศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน ทำให้ตัวแปรต่างๆและความจริงทางเลือกอื่นๆ อยู่ในวงเส้นเวลาเดียวกันนี้ และสร้าง TVA เพื่อมาควบคุมเส้นเวลาเพื่อไม่ให้เกิดการแตกแขนงของเวลา หรือ จุดที่เราเรียกว่า Nexus Points นั้นเอง หากตัวแปรทำให้เกิดเหตุการณ์ Nexus ส่งผลให้เกิดสาขาแยกมาจากเส้นเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ตัวแปรเหล่านั้นจะถูกกำจัดและนำไปไว้ที่ The Void ดินแดนอันว่างเปล่าที่เป็นที่เก็บของทุกสิ่งที่เกิดการแตกแขนงของเส้นเวลาที่ถูกกำจัดแล้วนั้นเอง ไม่เช่นนั้นถ้าไม่ทำลายเส้นเวลาที่แยกออก เส้นเวลานั้นอาจถึงจุดที่ยากจะกำจัดนั้นคือเส้นสีแดง ทำให้เส้นเวลานี้กลายเป็นโลกคู่ขนานใหม่เพิ่มขึ้นที่มีความจริงทางเลือกใหม่ และมันอาจทำให้เกิดสงครามของ Multiverse ในอนาคตก็เป็นได้

TVA ดูเหมือนจะเป็นองค์กรที่ถูกสร้างขึ้นอย่างชาญฉลาดของ He Who Remains แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นหลักการที่โหดเหี้ยมอยู่ไม่น้อย การทำลายชีวิตอื่นที่เป็นตัวแปรเพื่อแลกกับระเบียบของเส้นเวลาที่สามารถควบคุมได้ ดูเลวร้ายต่อความเป็นมนุษยธรรม นั้นก็ทำให้ Sylvie ตัวแปรหนึ่งของ Loki ที่ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนท่ามกลางเหตุการณ์ที่เป็นหายนะ นั้นทำให้เธอไม่ถูกตรวจจับในเส้นเวลาที่แตกแขนงหรือเหตุการณ์เป็น Nexus Events นั้นเอง ดังนั้น Sylvie จึงมีมุมมองว่า TVA คือองค์กรที่เป็นวายร้ายและต้องกำจัด และเธอเชื่อว่า จักรวาลและมิติที่ไม่มีที่สิ้นสุดต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมของ TVA และมีความเป็นอิสระ

ดินแดน Ta Lo ของ Shang-Chi

หนังเรื่อง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings เราได้รู้จักเมือง Ta Lo มิตินึงที่ระนาบขนานไปกับมิติความจริงของโลก มีเวทย์มนตร์ อาวุธ และความสวยงามต่างๆ รวมถึงมังกรและสัตว์ในจิตนาการอื่นๆของจีน ที่คอยปกป้องโลกและผู้คนไว้ แต่การเดินทางมายังดินแดนนี้ จะต้องผ่านเขาวงกตที่มีชีวิต ทำให้ยากที่ใครจะสามารถเข้ามา และประตูมิติจะเปิดออกปีละหนึงครั้งในวันเช้งเม้ง ตามความเชื่องของชาวจีน อย่างไรก็ตาม ผู้อาศัย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์วิเศษของ Ta Lo สามารถสั่งคนนอกให้ผ่านเขาวงกตที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาของปีเพื่อมายัง Ta Lo ได้ ดังนั้น หมู่บ้าน Ta Lo ที่เห็นใน Shang-Chi เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆของดินแดน Ta Lo เพราะยังมีส่วนอื่นๆอีกมากที่ยังไม่ได้การนำเสนอ และดูเหมือนดินแดนนี้จะมีวิทยาการล้ำเลิศ เฉกเช่น Wankada อีกด้วย

โลกคู่ขนานอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ MCU

ลกคู่ขนานของ MCU ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจักรวาลและมิติที่สร้างขึ้นภายใน MCU ใน Spider-Man: No Way Home ได้นำเอาจักรวาลอื่นๆของ Spider Man มา Crossover กันจนได้ที่เราได้เห็น Spider-Man ในโลกภาพยนตร์ใรเวอร์ชันอื่นๆมาอยู่รวมกันได้ในจักรวาลนี้ นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ Kevin Feige ได้สัญญาแล้วว่า Deadpool ของ Ryan Reynolds จะเข้าร่วม MCU และ Venom ของ Sony: Let There Be Carnage ได้เพิ่มปมใหม่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของการข้ามจักรวาล ส่งผลให้ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ Chris Evans สามารถกลับไปที่ MCU ไม่ใช่เป็น Steve Rogers แต่อาจจะมาในตัวละครนึงใน Fantistic Four 4 ของจักรวาลอื่นตามที่เค้าเคยรับบทเป็น Johnny Storm นั้นเอง เช่นเดียวกับที่ตัวละครจากซีรีส์ Daredevil ทาง Netflix อย่าง Matt Murdock และ Kingpin ก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ MCU แล้วในตอนนี้ ซึ่งอีกไม่นานเราจะได้เห็น Deadpool กลายเป็นส่วนหนึ่งของ MCU และแน่นอน MCU ก็อาจจะเอานักแสดงของ X-Men จาก Fox เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ MCU อย่างเช่นบทบาทของ Professor x ที่แสดงโดย Patrick Stewart เขาก็มาปรากฏใน Doctor Strange 2 นี้แล้วเช่นกัน

อนาคตของ Multiverse ของ MCU

การเกิด Multiverse ของ MCU จะนำไปสู่ความวุ่นวายและความโกลาหลที่เกิดขึ้น Doctor Strange in the Multiverse of Madness, Ant-Man and the Wasp: Quantumania และ Loki ซีซั่นที่สอง MCU อาจจะทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดในแต่ละเส้นทางที่ MCU ไดเดำเนินไป ความซับซ้อนเริ่มมีมากขึ้น และความชัดเจนเริ่มแสดงให้เราเห็นมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเราแฟนๆของ MCU จะต้องติมตามจักรวาลนี้กัยต่อไปครับ